21/10/59

Flame Oukoku Koubouki / นายแบงค์คู่คิด กู้พิษเศรษฐกิจต่างมิติ

สำนักพิมพ์ : Animag / A-Plus
แนวเรื่อง : Fantasy
จำนวนเล่ม : 5 เล่ม - ยังไม่จบ
เรื่องย่อ : "คุณคือ...ท่านผู้กล้าหรือเปล่าคะ"
"เปล่าครับ ผมเป็นพนักงานธนาคารธรรมดา"

มัทสึชิโระ โคตะ หลุดไปยังโลกต่างมิติขณะเดินทางไปทำงาน ทว่า ทั้งที่ถูกอัญเชิญไปในฐานะผู้กล้าแท้ๆ แต่ที่นั่นกลับไม่มีจอมปีศาจ จักรวรรดิชั่วร้ายเองก็อยู่ระหว่างปิดทำการ โคตะจึงถูกขับไล่ออกจากวังไปอยู่เมืองบ้านนอก

เมื่อคิดว่าจะได้เริ่มชีวิตอันสงบสุข เงื้อมมือปีศาจที่โหดเหี้ยมยิ่งกว่าสัตว์ประหลาดก็บุกเข้าโจมตี

มันคือ "หนี้สาธารณะติดตัวแดง"

หากเป็นอย่างงี้ต่อไป การคลังสาธารณะก็จะล้มไม่เป็นท่า "พนักงานธนาคาร" อย่างโคตะจึงไม่อาจนิ่งเฉย

นี่คือเรื่องราวที่ตัวเอกผู้มีความสามารถในการโกงเป็นศูนย์ ลุกขึ้นต่อกรกับศัตรูที่แข็งแกร่งยิ่งกว่าจอมปีศาจ ด้วยสติปัญญาและความกล้าหาญ

มาเป็นพยานรู้เห็นประวัติศาสตร์ด้วยกันเถอะ
ความเห็นส่วนตัว : เรื่องนี้มีความสดใหม่นะเออ รู้สึกเล่ม5ที่ญี่ปุ่นเพิ่งวางแผงเมื่อเดือนที่แล้วเองมั้ง ซึ่งเรื่องราวโดยคร่าวๆก็เป็นอย่างในปกหลังครับ(ส่วนเรื่องย่อที่อยู่ข้างบน) ก็คือเป็นเรื่องของพนักงานธนาคารที่ถูกอัญเชิญไปต่างโลกที่แสนสงบสุข ถ้าไม่นับเรื่องที่เศรษฐกิจของโลกต่างมิตินั้นกำลังไม่ดีน่ะนะ เจ้าพระเอกหนุ่มก็เราก็เลยเข้าช่วยเหลือนั่นเอง

โดนคอนเซ้ปก็คงคล้ายๆ Maoyu หรือที่คนไทยส่วนใหญ่น่าจะเรียกว่าจอมมารเศรษฐศาสตร์นั่นแหละครับ (บังเอิญว่าเรื่องนี้ค่อนข้างดัง ก็เลยตัดสินใจไม่รีวิว ดังนั้นจึงไม่มี link แปะให้เหมือนทุกทีนะครับ) เพียงแต่จะแตกต่างกันนิดหน่อยตรงที่เรื่องนี้จะเน้นความเป็นทุนนิยมมากกว่า ประกอบกับพระเอกจะมองไปที่การพัฒนาเมืองเป็นหลัก อารมณ์แบบว่า หากเสียสละคนส่วนน้อยแล้วประเทศจะเดินไปข้างหน้าได้ มันก็จะทำ อะไรประมาณนั้น

ยกตัวอย่างเช่น ใน Maoyu นั้น หากชาวบ้านทำการเกษตรได้รับความเดือดร้อนเรื่องดิน จอมมารก้อนเนื้อไร้ประโยชน์ก็จะพยายามหาวิธีแก้ปัญหาดิน

แต่ในเรื่องนี้ หากดินตรงที่เสียที่ทำให้ชาวบ้านเดือดร้อนนั้น เป็นที่ดินทำเลดี หากเอาไปใช้ทำอย่างอื่นนอกจากการเกษตร พระเอกมันจะกดดันให้ชาวบ้านแก้ปัญหา ด้วยการเอาเงินเข้ามาจับ อารมณ์ว่า ถ้าดินมันเสียก็ย้ายที่ซะสิ...ขายที่ซะ แล้วซื้อที่ใหม่...ที่ใหม่สวยกว่านะ...เงินไม่พอเหรอ...กู้เงินมั้ย...เซ็นสัญญากู้ตรงนี้...เอาบ้านพร้อมที่ดินมาจำนองโล้ด...ถึงกำหนดไม่จ่ายเหรอ...ยึดเลย (อืมมม สมเป็นพนักงานธนาคารจริงๆ ทำยอดเก่งมาก) เสร็จแล้วพระเอกก็เอาที่ดินตรงนั้นไปสร้างสิ่งที่สามารถพัฒนาเมืองได้

เรียกได้ว่าคาแรคเตอร์ของพระเอกในเรื่องจะค่อนข้างขัดกับที่ผู้เขียนบรรยายไว้ในตอนแรก เพราะเขาบรรยายไว้ในลักษณะว่าเป็นคนมีความสามารถ แต่ชอบประเมินตัวเองต่ำกว่าความเป็นจริง อ่อนน้อมถ่อมตน และซื่อสัตย์ แต่พอเดินเรื่องไปแล้ว เรื่องความสามารถน่ะไม่เถียงหรอก ที่ชอบประเมินตัวเองต่ำไปนั่นก็ไม่รู้ว่าพูดไปงั้นๆรึเปล่า เพราะโดยปกติแล้ว คนที่ประเมินตัวเองต่ำ จะไม่ค่อยกล้าพอที่จะลุกขึ้นมาเป็นพ่องานสักเท่าไหร่ ยิ่งกับงานที่มีความยากสูงแล้วด้วย

ไหนจะเรื่องที่ว่าอ่อนน้อมถ่อมตนอีก หากอ่านๆไปจะรู้สึกว่าพระเอกเป็นพวกที่มีแนวคิดแบบสัจนิยมพอสมควร มองอะไรตามความเป็นจริง สามารถตัดความรู้สึกส่วนตัวออกจากงานได้ในระดับนึง ทำให้ไม่ค่อยมีความอ่อนน้อมเลย

ด้านความซื่อสัตย์เอง จริงอยู่ว่าในทางธุรกิจแล้ว การพูดความจริงไม่หมด หรือการทำให้อีกฝั่งเข้าใจผิดแล้วตัวเองก็อาศัยเรื่องนั้นโกยผลประโยชน์เข้าตัว มันไม่ผิด แต่ในด้านศีลธรรมแล้ว จะบอกว่าคนแบบนี้เป็นคนซื่อสัตย์มันก็พูดได้ไม่เต็มปากเท่าไหร่หรอกนะ

อืมมม ก็ไม่รู้ว่าคนเขียนมันลืมบุคลิคที่ตัวเองวางไว้ หรือว่าเพราะตัวละครมันมีการพัฒนาไปในระหว่างที่เขียนกันนะ แต่มันจะเร็วเกินไปหน่อยมั้ยฟ่ะ แค่ไม่กี่หน้าเองนะเฟ้ย (นักเขียนบางส่วนชอบพูดว่า ตัวละครสามารถเติบโตได้เหมือนกับคน พอเดินเรืื่องไป ลักษณะนิสัยของตัวละครจะเริ่มแตกต่างไปจากที่วางไว้ในตอนแรก)


เรื่องการดำเนินเรื่องนั้น คนเขียนจัดว่าค่อนข้างใจเย็นทีเดียว เน้นเก็บรายละเอียดให้มากที่สุด ทำให้เนื้อเรื่องในเล่มแรก ยังคงเป็นการโชว์สกิลของพระเอก ไปพร้อมๆกับแนะนำตัวละครหลักๆตัวอื่นๆ ปัญหาในเรื่องที่พระเอกจะต้องแก้ ยังคงเป็นปัญหาทั่วๆไป

ซึ่งโดยส่วนตัวแล้ว คาดว่าคนเขียนเอาคอนเซ้ปในส่วนนี้มาจากบริษัทที่ล้มละลายแล้ว และมาเข้าแผนฟื้นฟูกิจการ โดยพระเอกทำหน้าที่เจ้าหน้าที่ผู้เชี่ยวชาญยังไงยังงั้นเลย เพราะถ้าเทียบกับแล้ว เมืองที่มีหนี้ล้น จนเจ้าเมืองต้องใช้วิธีกู้หนี้ใหม่มาโป๊ะหนี้เก่า (วิธีนี้ผิดมาก เด็กยังรู้เลย) ก็เทียบได้กับสภาพที่ใกล้ล้มละลายเต็มทีนั่นแหละนะ ปัญหาส่วนใหญ่ของบริษัทในลักษณะนี้ก็เลยจะเป็นที่ เจ้าของกิจการที่แก้ปัญหาผิด ไม่ก็ทำตัวเป็นเตี้ยอุ้มค่อม รวมไปถึงพนักงานในบริษัทที่ไม่ได้คุณภาพนั่นแหละ พอค่อยๆแก้ปัญหาไปทีล่ะจุด มองเมืองให้เป็นบริษัท มองปัญหาในแต่ละด้าน ให้เป็นปัญหาในแต่ละแผนก มันก็ไหลไปได้

แม้จะขัดใจนิดหน่อยตรงที่ มันมีพนักงานธนาคารกินเงินเดือนธรรมดาๆที่ไหนมีความรู้รอบด้านขนาดนี้ฟ่ะ 555+

โดยสรุปแล้วก็อย่างที่บอกครับ เล่มแรกคือการเกริ่นนำ ยังไม่มีตัวละครที่ประสงค์ร้าย และมีความสามารถพอฟัดพอเหวี่ยงโผล่มาสร้างปัญหาให้กับพระเอกของเราสักเท่าไหร่ ประกอบกับวิธีการของพระเอก ถ้าพอมีความรู้ด้านนี้ก็จะเห็นช่องโหว่อยู่นะ คิดว่าคนเขียนคงเก็บไว้เล่นทีหลังล่ะมั้ง

ส่วนจุดติ หากให้ติจริงจังก็ยังไม่มีสักเท่าไหร่ นอกจากสไตล์การเขียนบทบรรยาย (ในช่วงแรก) คนเขียนแกจะชอบบรรยายแบบนึงไปก่อน แล้วหักด้วยคำว่า "ซะเมื่อไหร่" หรืออะไรคล้ายๆแบบนั้น ทำให้หากตั้งหลักไม่ดี ไม่เตรียมใจที่จะเจอการบรรยายแบบกลับไปกลับมา อาจจะอ่านแล้วงงได้ตั้งแต่หน้าแรก โชคยังดี ที่คนเขียนแกทำ(บ้าอะไรฟ่ะ)แบบนั้นเฉพาะช่วงต้นเรื่อง ไม่งั้นคงทนอ่านไม่ไหวแน่ๆ

อ้อ ขอเตือนไว้ก่อน ด้านเนื้อเรื่องนั้น นอกจากเศรษฐศาสตร์แล้ว ยังมีเนื้อหาของการเมือง การทูต บริหารธุรกิจ แล้วก็บัญชีเข้ามาด้วย ซ้ำยังลงรายละเอียดพอสมควรเลย แม้ว่าคนเขียนจะพยายามจับคู่พระเอกกับตัวละครตัวอื่น แล้วให้ตัวละครตัวนั้นมีหน้าที่ถาม เพื่อให้พระเอกอธิบายให้คนอ่านเข้าใจไปด้วยก็เถอะ แต่ถึงอย่างงั้นเนื้อหาก็ยังจัดว่าหนักอยู่ดี ดังนั้นโดยส่วนตัวแล้ว ผมคิดว่ากลุ่มคนอ่านที่คนเขียนเล็งเอาไว้น่าจะเป็นระดับเด็กมหาลัยไปจนถึงวันทำงาน มากกว่าจะเป็นเด็กประถม-มัธยม น่ะนะครับ นอกจากนั้นยังน่าจะต้องมีความรู้พื้นฐานในเรื่องพวกนี้อยู่บ้างด้วย ใครที่ตัดสินใจจะอ่าน ก็ลองชั่งใจดูให้ดีนะ ไม่งั้นจะพาลเบื่อเอาได้เลย ยิ่งเล่มมันหนา ราคาก็เลยสูงด้วยสิ
ความน่าสนใจ : 5/5